ความหมายของข้อมูล
ข้อมูล คือข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ เช่น คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ฯลฯ โดยอยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมต่อการสื่อสาร การแปลความหมายและการประมวลผล ข้อมูลอาจจะเป็นตัวเลข อักขระ หรือสัญลักษณ์ใดๆ เช่น 1.5 อาจจะถูกกำหนดให้เป็นจำนวนหน่วยการเรียนของ วิชาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ 8.30 แทนเวลาเข้าเรียน สัญลักษณื แทนการเลี้ยว เบื้องต้น
ความรวดเร็วของการเก็บข้อมูลจึงผูกผันกับเทคโนโลยีซึ่งมีหลายวิธี เช่น การใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ การเชื่อมต่อกับระบบปลายทางเพื่อรับข้อมูลการใช้โทรสาร การใช้ระบบอ่านข้อมูลอัตโนมัติ เช่น เครื่อง กราดตรวจ (scanner) เครื่องอ่านข้อมูลที่เป็นรหัสแท่ง (barcode reader )
ประเภทของแฟ้มข้อมูล
ประเภทของแฟ้มข้อมูล เราสามารถจำแนกแฟ้มข้อมูลออกตามลักษณะของข้อมูลที่เก็บบันทึกไว้และสามารถแบ่งแฟ้มข้อมูลออกเป็น2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1 แฟ้มข้อมูลหลัก เป็นแฟ้มข้อมูลซึ่งเก็บข้อมูลที่สำคัญ เช่น แฟ้มประวัติลูกค้า ซึ่งแฟ้มข้อมูลหลักเหล่านี้เป็นส่วนประกอบของระบบงานบัญชี
2 แฟ้มรายการปรับปรุง เป็นแฟ้มที่บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับแฟ้มข้อมูลหลักที่มีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน รายการที่เกิดขึ้นต้องนำไปปรับปรุงกับแฟ้มข้อมูลหลักเพื่อให้แฟ้มข้อมูลหลักมีข้อมูลที่ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา การจัดระเบียบแฟ้มข้อมูล มีวิธีการจัดได้หลายประเภท เช่น
2.1.การจัดระเบียบแฟ้มข้อมูลตามลำดับ ลักษณะการจัดข้อมูลรายการจะเรียงตามฟิลด์ที่กำหนด เช่น เรียงจากน้อยไปมาก หรือ จากมากไปหาน้อย หรื เรียงตามอักษร โดยส่วนมากมักใช้เทปแม่เหล็กเป็นสื่อในการเก็บข้อมูล ซึ่งเก็บโดยวิธีนี้จะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ข้อดี
1.เป็นวิธีที่เข้าใจง่าย เพราะการเก็บจะเรียงตามลดับ
2.ประหยัดเนื้อที่ในการเก็บและง่ายต่อการสร้างแฟ้มใหม่
ข้อเสีย
1.เสียเวลาในการปรับปรุง ในกรณีที่มีรายการปรับปรุงน้อย เพราะจะต้องอ่านทุกรายการจนกว่าจะถึงรายการที่ต้องการปรับปรุง
2.ต้องมีการจัดเรียงข้อมูลที่เข้ามาใหม่ให้อยู่ในลำดับเดียวกันในแฟ้มข้อมูลหลักก่อนที่จะประมวลผล
2.2.การจัดระเบียบแฟ้มข้อมูลแบบตรงหรือแบบสุ่ม
โดยส่วนมากมักจะใช้จานแม่เหล็กเป็นหน่วยเก็บข้อมูลการบันทึกหรือการเรียกข้อูลขึ้นมาสามารถเรียกได้โดยตรงหรือการเข้าถึงโดยการสุ่มการค้นหาข้อมูลโดยวิธีนี้จะเร็วกว่าแบบตามลำดับ ทั้งนี้เพราะการค้นหาจะกำหนดดัชนี ฉะนั้นจะวิ่งไปหาข้อมูลที่ต้องการหรืออาจจะเข้าหาข้อมูลแบบอาศัยดัชนีและเรียงลำดับควบคู่กัน เมื่อพบแล้วต้องการเอาข้อมูลมาอีกกี่รายการก็ให้เรียงตามลำดับของรายกาารที่ต้องการซึ่งการเก็บโดยวิธีนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ข้อดี
1.สามารถบันทึกเรียกข้อมูลและปรับปรุงข้อมูลที่ต้องการได้โดยตรงไม่ต้องผ่านรายการที่อยู่ก่อนหน้า
2.ในการปรับปรุงและแก้ข้อมูลสามารถทำได้ทันที
ข้อเสีย
1.สิ้นเปลืองเนื้อที่ในหน่วยสำรองข้อมูล
2.ต้องมการสำรองข้อมูล เนื่องจากโอกาสที่ข้อมูลจะมีปัญหาเกิดได้ง่ายกว่าแบบตามลำดับ
2.3.การจัดการแฟ้มข้อมูล
การจัดการแฟ้มข้อมูล ( file Management ) ในอดีตข้อมูลท่จัดเก็บไว้จะอยู่ในรูปของแฟมข้อมูลอิสระ (Conventional File ) ซึ่งระบบงานแต่ละระบบก็สร้างแฟ้มของตนเองขึ้นมาโดยไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน เช่น ระบบบัญชี ที่สร้างแฟ้มข้อมูลของตนเอง ระบบพัสดุคงคลัง (Inventory ) ระบบการจ่ายเงินเดือน (Payroll) ระบบออกบิล (billing) และระบบอื่นๆ ดังนั้น ก่อนที่องค์การจะนคอมพิวเตอร์มาใช้จะต้องมีการวางแผนถึงระบบการบริหารแฟ้มข้อมูล การแบ่งประเภทของแฟ้มข้มูลและการจัดระเบียบแฟ้มข้อมูล
2.4.รหัสข้อมูล
2.4.1 ความหมาย รหัสแทนข้อมูล คือรหัสที่ใช้แทนข้อมูลที่ส่งเข้าไปบันทึกไว้ในเครื่องและให้เครื่องประมวลผล
2.4.2 ชนิดและลักษณะของรหัสแทนข้อมูลแบบต่างๆ รหัสแทนข้อมูลมี 3 ประเภท ได้แก่
1. BCD (BINARY CODED DECIMAL) เป็นรหัสแบบ 6 บิต เป็น 1 ไบต์ แบ่งเป็น 2 ส่วน
>>> Zone Bit คือ 2 บิตแรก เป็นตัวชี้รหัสกลุ่ม , ตัวอักษร , ตัวเลข , อักษรพิเศษ
>>> Digit Bit คือ 4 บิตหลัง เป็นเลขฐาน 2 จำนวน 4 ตัว ค่าเปลี่ยนตามตำแหน่งตัวอักษร BCD แบ่งเป็น 3ส่วน
1.1 ข้อมูลที่เป็นตัวเลข (0-9) - Zone Bit เป็น 00 เช่น 6 ฐาน 10 เป็น BCD 000110
1.2 ข้อมูลที่เป็นตัวอักษร ( A-Z ) - แบ่งเป็นกลุ่มละ 9 ตัว
>>> A -I Zone Bit เป็น 11
>>> J -R Zone Bit เป็น 10
>>> S-Z Zone Bit เป็น 01
1.3ข้อมูลที่เป็นอักขระพิเศ เช่น *,+,-,/,$ เป็นต้น
2. EBCDIC ( EXTENTED BINARY CODED DECIMAL INTER CHANGE CORD ) เป็นรหัส 8 บิต เป็น 1 ไบต์ หรือเท่ากับ 2 กำลัง 8 = 256 ตัวอักษร แบ่
เป็น 2กลุ่ม ๆละ 4 บิต เป็นเลขฐาน 2 หรือเลขฐาน 16 EBCDIC แบ่งเป็น 3 กลุ่ม
2.1 ข้อมูลที่เป็นตัวเลข (0-9) - Zone Bit เป็น 1111 หรือ F ในฐาน 16
2.2 ข้อมูลที่เป็นตัวอัษร (A-Z ) - แบ่งเป็นกลุ่มละ 9 ตัว
>>>A-I Zone Bit เป็น 1100 = C
>>>J-R Zone Bit เป็น 1101 = D
>>>S-Z Zone Bit เป็น 1110 = E
2.3ข้อมูลที่เป็นอักขระพิเศษ เช่น *,+,-,/,$ เป็นต้น เช่น COM 23 เลขฐาน 2 11000011 11010110 11010100 11110010 11110011 เป็นเลขฐาน 16 C3 D6 D4 F2 F3
3. ASCII (American Standard Code for Information Interchange)
รหัสแอสกี เป็นรหัสที่นิยมใช้กันมาก จนสามมารถนับได้ว่าเป็นรหัสมาตรฐานที่ใช้ใน การสื่อสารข้อมูล ( Data Communications) ซึ่งจำเป็นต้องใช้รหัสการแทนข้อมูลเป็นระบบเดียวกัน เพื่อให้สามารถรับ - ส่งข้อมูลได้ในความหมายเดียวกัน รหัสแอสกีใช้เลขฐานสอง 8 หลักแทนข้อมูลหนึ่งตัวเช่นเดียวกับรหัสเอบซีดิค นั่นคือ 1 ไบต์มีความยาวเท่ากับ 8 บิต รวมทั้งมีการแบ่งรหัสออกเป็นสองส่วน คือ โซนบิตและนิวเมอริกบิตเช่นเดียวกัน
อักขระ
|
รหัส EBCDIC
|
รหัส ASCII
|
อักขระ
|
รหัส EBCDIC
|
รหัส ASCII
|
A
|
11000001
|
01000001
|
0
|
11110000
|
00110000
|
B
|
11000010
|
01000010
|
1
|
11110001
|
0011001
|
C
|
11000101
|
01000011
|
2
|
11110010
|
00110010
|
:
|
:
|
:
|
3
|
11110011
|
00110011
|
X
|
11100111
|
01011000
|
:
|
:
|
:
|
Y
|
11101000
|
01011001
|
:
|
:
|
:
|
Z
|
11101001
|
01011010
| |||
:
|
:
|
:
| |||
:
|
:
|
:
|
ชนิดของข้อมูล
ข้อมูลที่เราไดัรับรู้และนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1.ข้อมูลที่เป็นตัวอักษร หมายถึง ข้อมูลที่เป็นตัวหนังสือภาาาต่างๆ เช่น ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ เป็นต้น
2.ข้อมูลที่เป็นตัวเลข หมายถึง ข้อมูลที่เขียนแทนตัวเลข ทั้งเลขไทยและเลขอารบิก
3.ข้อมูลที่เป็นภาพ หมายถึง ภาพจริง ภาพวาด วัตถุ และสิ่งของต่างๆ
4.ข้อมูลอื่นๆ เป็นข้อมูลนอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้ว เช่น เสียง แสง ความร้อน เป็นต้น
ลักษณะของข้อมูลที่ดี
การจัดเก็บข้อมูลจำเป็นต้องมีความพยายามและตั้งใจดำเนินการ หรือกล่าวได้ว่าการได้มาซึ่งข้อมูลที่จะนำประโยชน์ องค์การจำเป็นต้องลงทุน ทั้งในนด้านข้อมูล เครื่องจักร และอุปกรณ์ และตลอดจนการพัฒนาบุคลากรขึันมารองรับระบบเพื่อให้ใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ้งสารสนเทศที่ดี ข้อมูลจะต้องมีคุณสมบัติขั้นพื้นฐาน ดังนี้
1.ความถูกต้อง หากมีการเก็บรวบรวมข้อมูลแล้วข้อมูลเหล่านั้นเชื่อถือไม่ได้จะทำให้เกิดความเสียหายอย่างมาก
2.ความรวดเร็วและความเป็นปัจจุบัน การได้มาของข้อมูลจำเป็นต้องให้ทันต่อความต้องการของผู้ใช้ มีความตอบสนองต่อผู้ใช้ได้เร็ว
3.ความสมบูรณ์ ความสมบูรณ์สารสนเทศขึ้นกับการรรวบรวมข้อมูลแลกะวิธีการปฏิบัติด้วย
4.ความชัดเจนและกระทัดรัด การจัดเก็บข้อมูลจำนวนมากจะต้องใช้พื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลมากจึงจำเป็นต้องออกแบบโครงสร้างข้อมูลให้กระทัดรัดสื่อความหมายได้
5.ความสอดคล้อง ความต้องการเป็นเรื่องที่สำคัญ ดังนั้น จึงต้องมีการสำรวจเพื่อหาความต้องการของหน่วยงานและองค์การ ดูสภาพการใช้ขอมูล ความลึกหรือความกว้างของขอบเขตข้อมูลลที่สอดคล้องกับความต้องการ
ระบบแฟ้มข้อมูล (File system)
หมายถึง สิ่งที่ผู้ใช้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่มักไม่รู้ตัวเนื่องจากเป็นการอำนวยความสะดวกโดยระบบปฏิบัติการอย่างอัตโนมัติ ระบบแฟ้มเป็นฐานที่ทำให้เกิดการจัดการโปรแกรม และข้อมูลในทุกการดำเนินงานของระบบซอฟท์แวร์ที่เข้าควบคุมสื่อเก็บข้อมูล
ระบบแฟ้มประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
ระบบแฟ้มประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
1)รวมรวมแฟ้ม (Collection of Files) เก็บข้อมูลที่สัมพันธ์ให้ถูกอ้างอิงได้ในรูปแฟ้มข้อมูล
2)โครงสร้างแฟ้ม (Directory Structure) จัดการอำนวยการเข้าถึงแฟ้มและจัดกลุ่มอย่างเป็นระบบ
3)พาทิชัน (Partitions) ซึ่งแยกเป็นทางกายภาพ (Physically) หรือทางตรรก (Logically) ของระบบไดเรกทรอรี่ (Directory) โดยเนื้อหาในบทนี้จะกล่าวถึงแฟ้ม และโครงสร้างไดเรกทรอรี่ รวมถึงการป้องกันแฟ้ม จากการเข้าถึงในระบบ Multiple users และระบบ File sharing
วิธีการจัดเก็บข้อมูลที่ใช้กันใน OS ทุกตัวคือ จัดเก็บข้อมูลเป็นแฟ้มข้อมูลหรือไฟล์ (file) ไฟล์คือสิ่งที่บรรจุข้อมูล,โปรแกรมหรืออะไรก็ได้ที่ผู้ใช้ต้องการรวบรวมไว้เป็นชุดเดียวกันการอ้างถึงไฟล์หรือข้อมูลต่างๆภายในไฟล์ของโปรแกรม จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับแอดเดรสของโปรแกรมใดๆทั้งสิ้นOSมีโอเปอร์เรชั่นพิเศษที่เรียกว่า system call ไว้ให้โปรแกรมเรียกใช้ เพื่อให้สามารถจัดการงานที่เกี่ยวกับไฟล์ได้
วิธีการจัดเก็บข้อมูลที่ใช้กันใน OS ทุกตัวคือ จัดเก็บข้อมูลเป็นแฟ้มข้อมูลหรือไฟล์ (file) ไฟล์คือสิ่งที่บรรจุข้อมูล,โปรแกรมหรืออะไรก็ได้ที่ผู้ใช้ต้องการรวบรวมไว้เป็นชุดเดียวกันการอ้างถึงไฟล์หรือข้อมูลต่างๆภายในไฟล์ของโปรแกรม จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับแอดเดรสของโปรแกรมใดๆทั้งสิ้นOSมีโอเปอร์เรชั่นพิเศษที่เรียกว่า system call ไว้ให้โปรแกรมเรียกใช้ เพื่อให้สามารถจัดการงานที่เกี่ยวกับไฟล์ได้
ข้อจำกัดของระบบแฟ้มข้อมูล
1.ข้อูลมการเก็บแยกจากกัน
2.ข้อมูลมีความซ้ำซ้อน
3.ข้อมูลมีความขึ้นต่อกัน
4.มีรูปแบบไม่ตรงกัน
5.รายงานต่างๆ ถูกกำหนดไว้อย่างจำกัด
ความหมายของการประมวลผลข้อมูล
การประมวลผลข้อมูล คือการกระทำการใดๆ กับข้อมูลเพื่อให้ข้อมูลนั้นๆอยู่ในรูปแบบที่เป็นประโยชน์ หรอตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้ใช้
การประมวลผลข้อมูล สามารถแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้
1.การเตรียมข้อมูลเข้า (lnput) เป็นการจัดเตรียมข้อมูลที่รวบรวมมาแล้วให้อยู่ในลักษณะที่สะดวกต่อการประมวลผล แบ่งเป็นขั้นตอนย่อย ๆ ดังนี้
ก. การลงรหัส(Coding) คือ การใช้รหัสแทนข้อมูลจริง ทำให้ข้อมูลอยู่ในรูปแบบที่สะดวกแก่การประมวลผล ทำให้ประหยัดเวลาและเนื้อที่ รหัสอาจเป็นตัวเลขหรือตัวอักษรก็ได้ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับเพศ ให้รหัส 1 แทนเพศชาย รหัส 2 แทนเพศหญิง เป็นต้น
ข. การตรวจสอบแก้ไขข้อมูล (Editing) เป็นการตรวจสอบความถูกต้องและความเป็นไปได้ของข้อมูล และปรับปรุงแก้ไขเท่าที่จะทำได้หรือคัดข้อมูลที่ไม่ต้องการออกไป เช่น คำตอบบางคำตอบขัดแย้งกันก็อาจดูคำตอบจากคำถามข้ออื่น ๆ ประกอบ แล้วแก้ไขตามความเหมาะสม
ค. การแยกประเภทข้อมูล (Classifying) คือการแยกประเภทข้อมูลออกตามลักษณะงานเพื่อสะดวกในการประมวลผลต่อไป เช่น แยกตามคณะวิชา แยกตามเพศ แยกตามอายุ เป็นต้น
ง. การบันทึกข้อมูลลงสื่อ (Media) ที่เหมาะสม หมายถึง การจัดเตรียมข้อมูลให้อยู่ในสื่อ หรืออุปกรณ์ที่อยู่ในรูปที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจ และนำไปประมวลได้ เช่น บันทึกข้อมูลลงในจานแม่เหล็ก หรือเทปแม่เหล็ก เพื่อนำไปประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อไป
2.การประมวลผล (Processing) เป็นวิธีการจัดการกับข้อมูล โดยนำข้อมูลที่เตรียมไว้แล้วเข้าเครื่อง แต่ก่อนที่เครื่องจะทำงานต้องมีโปรแกรมสั่งงาน ซึ่งโปรแกรมเมอร์(Processing) เป็นผู้เขียน เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำการประมวลผลจนกระทั่งได้ผลลัพธ์ออกมาและยังคงเก็บไว้ในเครื่องขั้นตอนต่าง ๆ อาจเป็นดังนี้
ก. การคำนวณ (Calculation) ได้แก่ การคำนวณทางคณิตศาสตร์ เช่น การบวก ลบ คูณ หาร และทางตรรกศาสตร์ เช่น การเปรียบเทียบค่าต่าง ๆ
ข. การเรียงลำดับข้อมูล(Sorting) เช่น เรียงข้อมูลจากน้อยไปมาก หรือมากไปน้อยหรือเรียงตามตัวอักษร A ถึง Z เป็นต้น
ค. การดึงข้อมูลมาใช้(Retrieving) เป็นการค้นหาข้อมูลที่ต้องการเพื่อนำมาใช้งาน เช่น ต้องการทราบยอดหนี้ของลูกค้าคนหนึ่ง หรือต้องการทราบยอดขายของพนักงานคนหนึ่ง เป็นต้น
ง. การรวมข้อมูล (Merging) เป็นการนำข้อมูลตั้งแต่ 2 ชุด ขึ้นไปมารวมเป็นชุดเดียวกัน เช่น การนำเอาเงินเดือนพนักงาน รวมกับเงินค่าล่วงเวลา จะได้เป็นเงินที่ต้องจ่ายให้แก่พนักงาน
จ. การสรุป (Summarizing) เป็นการรวบรวมข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมดให้อยู่ในรูปแบบสั้น ๆ กะทัดรัดตามต้องการ เช่น การสรุปรายรับรายจ่าย หรือ กำไรขาดทุน
ฉ. การสร้างข้อมูลชุดใหม่ (Reproducing) เป็นการสร้างข้อมูลชุดใหม่ขึ้นมาจากข้อมูลเดิม
ช. การปรับปรุงข้อมูล (Updating) คือ การเพิ่มข้อมูล (Add) การลบข้อมูล (Delete) และการเปลี่ยนค่า (change) ข้อมูลที่มีอยู่ให้ทันสมัยอยู่เสมอ
3. การนำเสนอข้อมูล (Output) เป็นงานที่ได้หลังจากผ่านการประมวลผลแล้วเป็นขั้นตอนในการแปลผลลัพธ์ที่เก็บอยู่ในเครื่อง ให้ออกมาอยู่ในรูปที่สามารถเข้าใจง่ายได้แก่ การนำเสนอในรูปแบบรายงาน เช่น แสดงผลสรุปตารางรายงานการบัญชี รายงานทางสถิติ รายงานการวิเคราะห์ต่าง ๆ หรืออาจแสดงด้วยกราฟ เช่น แผนภูมิ หรือรูปภาพสรุปขั้นตอนการประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์
ประเภทของการประมวลผลข้อมูล
เครื่องมือที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูล จะพิจารณาจากอุปกรณ์ที่ใช้ในการประมวลผล ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ 1. การประมวลผลข้อมูลด้วยมือ (Manual Data Processing) เป็นวิธีการประมวลผลด้วยวิธีการเดิมๆ ที่มนุษย์ใช้กันมาตั้งแต่อดีตโดยใช้แรงงานคนในการประมวลผลทั้งหมด เพื่อให้การประมวลผลข้อมูลได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ เช่น การนับนิ้ว การใช้กระดาษทด การใช้ลูกคิด การใช้เครื่องคิดเลข เป็นต้นวิธีนี้เหมาะจะใช้กับการประมวลผลข้อมูลที่มีปริมาณข้อมูลน้อยๆ และมีขั้นตอนการประมวลผลที่ไม่สลับซับซ้อนมาก 2. การประมวลผลข้อมูลด้วยเครื่องจักร (Mechanical Data Processing) เป็นวิธีการประมวลผลที่ต้องใช้ทั้งแรงงานคนและเครื่องจักรผสมกัน เช่น การใช้เครื่องจักรทำบัญชี การใช้เครื่องเรียงบัตร เครื่องเจาะบัตร เป็นต้น วิธีนี้เหมาะจะใช้กับการประมวลผลข้อมูลที่มีปริมาณข้อมูลไม่มากนัก 3. การประมวลผลข้อมูลด้วยเครื่องอิเล็ทรอนิกส์ (Electronic Data Processing หรือ EDP) เป็นการประมวลผลข้อมูลโดดยใช้เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ หรือการประมวลผลข้อมูลโดยใช้เคร่องคอมพิวเตอร์นั้นเอง จึงเหมาะจะใช้กับการปประมวลผลข้อมูลที่มีปริมาณข้อมูลมากๆ ต้องการความถูกต้อง รวดเร็ว หรือมีขั้นตอนการประมวลผลที่สลับซับซ้อน เช่น การใช้เครื่องคคอมพิวเตอร์กับงานบัญชี การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการควบคุมสินค้าคงคลัง การใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมการบิน การใช้คอมพิวเตอร์กัยงานทะเบียนนักเรียน เป็นต้น
ประโยชน์ของการประมวลผลข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
1.มีความเร็วในการทำงานให้ได้ผลผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
2.มีความถูกต้องสูง
3.สามารถทำงานตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ล่วงหน้าได้ ดดยการสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามวันและเวลาที่กำหนด
4.มึความสามารถในการจัดเรียงลำดับ ค้นหา และสรุปผล
5.มีความสามารถทำงานข้อมูลมากๆได้
6.มีความสามารถในการตัดสินใจได้ โดยกำหนดเงื่อนไขด้วยการเขียนโปรแกรมคำสั่ง
วิธีการประมวลผลข้อมูลของคอมพิวเตอร์วิธีการประมวลผลข้อมูลของคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งได้ 7 ประเภท ดังนี้ คือ 1. วิธีการประมวลผลแบบออฟไลน์ (Off-line Processing) หมายถึง การประมวลที่มีการทำงานในลักษณะการเตรียมการ เพื่ออำนวยความสะดวกในการประมวลผลโดยใช้อุปกรณ์อินพุตและอุปกรณ์เอาต์พุต ทำการบันทึกโปรแกรมคำสั่งและข้อมูลลงบนอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล แล้วนำข้อมูลนั้นส่งเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อทำการประมวลผลต่อไป 2. วิธีการประมวลผลแบบออนไลน์ ( On-line Processing ) หมายถึง การประมวลผลที่ใช้ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์การจัดเก็บข้อมูลที่อยู่ห่างกันแต่สามารถติต่อโดยตรงกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ วิธีการประมวลผลลักษณะนี้ เมื่อทำการประมวลผลเสร็จแล้ว จะเห็นผลลัพธ์ทันที ตัวอย่างเช่น ระบบการบริการฝาก-ถอนเงินผ่านเครื่องเอทีเอ็มของธนาคารต่าง ๆ 3. วิธีการประมวลผลแบบกลุ่ม ( Batch Processing) หมายถึง การประมวลผลโดยการจัดรวบรวมข้อมูล และแบ่งแยกข้อมูลออกเป็นกลุ่ม ๆ แล้วจึงส่งเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อทำการประมวลผลครั้งเดียว ซึ่งขั้นตอนการประมวลผล จะไม่มีการโต้ตอบกันระหว่างผู้ใช้งานกับเครื่อง คอมพิวเตอร์
4. วิธีการประมวลผลแบบแบ่งเวลา (Time Sharing Processing) หมายถึงการประมวลผลที่ผู้ใช้สามารถติดต่อใช้งานคอมพิวเตอร์พร้อม ๆ กันได้หลายคน (Multi-user)
ลักษณะการทำงานแบบนี้คอมพิวเตอร์ จะมีหน่วยประมวลผลกลางเพียงตัวเดียวสามารถทำงานในเวลาหนึ่ง ๆ ได้ 1 งานเท่านั้น แต่ใช้เทคนิคการแบ่งเวลาให้ผู้ใช้แต่ละคนหมุนเวียนกันไปอย่างต่อเนื่อง เช่น แบ่งเวลาให้คนละ 0.05 วินาที ซึ่งเร็วมาก ทำให้ผู้ใช้แต่ละคนรู้สึกเหมือนทำงานได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่เสียเวลารอคอย
5. วิธีการประมวลผลแบบเวลาจริง ( Real Time Processing ) หมายถึง การประมวลผลที่เมื่อทำการส่งข้อมูลเข้าไปในคอมพิวเตอร์แล้วจะได้ผลลัพธ์ออกมาทันที ตัวอย่างเช่น การใช้บริการบัตรเครดิตตามห้างร้านต่าง ๆ 6. วิธีการมวลผลแบบหลายโปรแกรมหรือมัลติโปรแกรมมิง ( Multiprogramming )หมายถึง การประมวลผลที่ให้ผู้ใช้หลาย ๆ คนสามารถทำงานพร้อมกันได้ โดยการแบ่งความจำสำรองออกเป็นส่วน ๆ เรียกว่า Partition โดยที่งานของผู้ใช้แต่ละงาน จะใช้หน่วยความจำส่วน Partition ที่กำหนดเท่านั้น ซึ่งขนาดของ Partition ที่กำหนดให้เท่านั้น ซึ่งขนาดของ Partition ไม่จำเป็นต้องเท่ากันหลักการทำงานของวิธี การประมวลผลแบบหลายโปรแกรม เนื่องจากหน่วยประมวลผลกลางมีความเร็วในการทำงานมากกว่าหน่วยรับข้อมูล และหน่วยส่งข้อมูลออก ดังนั้น การทำงานหนึ่ง ๆ จะเกิดเวลาว่างของหน่วยประมวลผลกลาง ระหว่างรอรับข้อมูลเข้าหรือรอข้อมูลออกดังนั้น การคิดระบบให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานหมุนเวียนหลาย ๆ งาน โดยใช้ช่วงเวลาว่างของหน่วยประมวลผลกลาง ขณะที่ทำงานใดรอข้อมูลเข้าหรือรอการส่งข้อมูลออกการทำงานลักษณะงานลักษณะนี้ เรียกว่า การทำงานแบบหลายโปรแกรม 7. วิธีการประมวลผลแบบมัลติโพรเซสซิง (Multiprocessing) หมายถึง การประมวลที่ใช้หน่วยประมวลผลหลาย ๆ ตัว ทำงานร่วมกันพร้อม ๆ กัน เพราะงานทุกอย่างต้องการความเร็วเป็นพิเศษในการประมวลผล ทำได้โดยการติดตั้งหน่วยประมวลผลกลางเพิ่มเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์หากหน่วยประมวลผลกลางใดเสีย ระบบก็ยังสามารถทำงานต่อไปได้ระบบการประมวลผลข้อมูลแบบกระจาย (Distributed Data Processing) |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น